ร้าน ยอดวัดโพธิ์
www.yodwatpho.99wat.com
089-356-2879/099-624-7874
![]() manoonsak_yod1
|
![]() |
ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ รับเช่า-ให้เช่า-รับจัดหา พระผงกระดูกผีวัดโพธิ์ และเหรียญพรายกระซิบวัดดอน |
|
ทองหนึ่งหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา เนื้อดิน
|
||||||||||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
||||||||||||||||
![]() ส่งข้อความ
|
||||||||||||||||
ชื่อร้านค้า
|
ยอดวัดโพธิ์ | |||||||||||||||
โดย
|
ยอด วัดโพธิ์ | |||||||||||||||
ประเภทพระเครื่อง
|
เครื่องราง | |||||||||||||||
ชื่อพระ
|
ทองหนึ่งหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา เนื้อดิน |
|||||||||||||||
รายละเอียด
|
พระดินทองหนึ่ง หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี พระเนื้อดินทองหนึ่ง สร้างขึ้นเป็นพระเมาลีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ขดกันเป็นก้นหอย ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุด ที่อยู่บนพระเศียร หรือเป็นพระเกศาของพระพุทธรูปต่างๆที่เราพบเห็นกัน พระเนื้อดินทองหนึ่ง หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา มีจำนวนการจัดสร้างน้อย และหายากมาก (เช่าหาระมัดระวังของปลอมเก๊เลียนแบบกันด้วย เพราะมีของเก๊หลากหลายฝีมือด้วยแล้วนะ) พุทธคุณดีทางด้านเมตตามหานิยม และป้องกันคุณไสยต่างๆ ประวัติปาฏิหารย์ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี "สมเด็จพระบรมครู" หรือ (หลวงพ่อกบ) ตามประวัติของท่านนั้น ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน เกิดเมื่อไหร่ บวชเมื่อไหร่ ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ไม่มีใครรู้แน่ชัด เพราะท่านไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังเลยแม้แต่คนเดียว ใครถามมักตอบเพียงว่า "กูไม่มีอดีตกูมีแต่ปัจจุบัน และอนาคต" และหากใครถามถึงอายุท่าน ท่านจะบอกว่า "กูจำไม่ได้" แล้วท่านก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ประวัติของท่านก็ได้จากคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเขาสาริกาเล่าว่า (หลวงพ่อกบ) ท่านเป็นพระธุดงค์ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว คาดว่าน่าจะมีเชื้อสายจีน ท่านเดินด้วยเท้าเปล่ามาจากไหนไม่มีใครเห็น คาดว่ามาจากทางแม่น้ำน้อย หรือทางทิศตะวันตกของ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีท่าทีประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป ชาวบ้านพบครั้งแรกในสภาพนุ่งห่มจีวรเก่าคร่ำคร่า แบกไม้คานหาบกระบุงเปล่าพาดบ่ามา ๒ ใบ เดินผ่านมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชาวบ้านร้องทักว่า “หลวงพ่อหาบกระบุงเปล่าไปทำไม” ท่านก็พูดว่า “กูหาบมาใส่เงินใส่ทองโว้ย” ว่าแล้วก็เดินดุ่มๆเข้าไปพำนักใน (วัดเขาสาริกา) ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ซึ่งสมัยนั้นเป็นวัดเก่าเกือบจะเป็นวัดร้าง ราวปี พ.ศ.๒๔๓๐ หลวงพ่อกบ เมื่อท่านมาถึงวัดเขาสาริกาแล้วท่านก็ไม่พูดจากับใคร นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานเพียงอย่างเดียว ไม่ทำความรู้จักกับใครทั้งนั้น แม้แต่พระภิกษุด้วยกันในวัด ท่านก็ไม่เคยพูดคุยด้วย ท่านฉันภัตตาหารแต่น้อยไม่กี่คำก็เลิก ข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาถวาย ก็โกยมากองรวมกันโยนให้สุนัข และแมวกินเป็นประจำ ใครนำเงินทองมาถวาย ท่านก็โยนเข้ากองไฟซะหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว สมัยแรกๆ หลวงพ่อกบ ท่านนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดเขาสาริกา ตากแดดตากฝนอยู่เพียงลำพัง ชาวบ้านสงสารก็ปลูกเพิงพักหลังคามุงแฝกหลังเล็กๆให้ พอหลบแดดหลบฝน ท่านก็ไม่ว่าหรือทักท้วงอะไร ยอมขึ้นไปพำนักในเพิงพักโดยดี นานหลายปีที่หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรเพียงรูปเดียวอยู่เช่นนั้น ก็เริ่มมีคนต่างถิ่น และคนแปลกหน้าเดินทางมากราบไหว้ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดเขาสาริกามากขึ้นทุกที สร้างความแปลกใจให้ชาวบ้าน และพระในวัด เพราะท่านไม่เคยออกจากวัดไปไหน สอบถามทุกคนจะตอบว่า "เคยใส่บาตรกับท่านรู้สึกศรัทธาก็เลยมาหา" บางคนมาจากเชียงใหม่บ้าง กรุงเทพฯบ้าง สุราษฎร์ธานี หรือภูเก็ตก็มี ไม่เว้นแม้กระทั่งสงขลา ยะลา ปัตตานี ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านมีความกังขามากขึ้น ซึ่งนับวันผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ท่านก็ไม่ค่อยพูดกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นลูกศิษย์ใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ต่อมาเพิงหลังคามุงแฝกของหลวงพ่อกบผุพังลง ลูกศิษย์ และชาวบ้านที่ศรัทธา ก็รวบรวมเงินบริจาคสร้างกุฎิไม้ถวายให้ท่าน ๑ หลัง มีขนาดกว้างขวางกว่าเดิม ใช้เป็นที่พำนักของหลวงพ่อ และลูกศิษย์ที่บ้านอยู่ไกลๆ เผื่อเดินทางมาหาหลวงพ่อ จะได้ไม่ต้องลำบากเรื่องที่นอนที่พัก นับวันวัดเขาสาริกา ก็กลายเป็นศูนย์รวมผู้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อกบ ทำให้ถูกทางการสมัยนั้น จับตามองกล่าวหาว่าเป็นแหล่งมั่วสุมผู้คน ราวๆปี พ.ศ.๒๔๕๐ ทางการส่งเจ้าหน้าที่มาสอบถาม และตรวจสอบ แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย พบเพียงแต่ผู้คนที่มาปฏิบัติธรรม และไม่ได้เป็นที่ซ่องสุมของผู้คนจึงกลับไป ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหา หลวงพ่อกบ อีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่ หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่าน ค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร และใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาจึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบท่านตอบถูกทั้งหมด และท่านถามกลับไปด้วยว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร” ปรากฎว่าไม่มีใคร หรือพระเถระผู้ใหญ่องค์ไหนตอบได้แม้แต่เพียงรูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา” เพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ เท่านั้นเองก็เลยกลายเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ แล้วจึงสั่งให้ หลวงพ่อกบ ลาสิกขาบท กล่าวหาว่าท่านเป็นพระเถื่อน ไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจ หรือเถียงอะไร ยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทแต่โดยดี และหันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมไปทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า “พวกมึงจะร้องไห้ทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็ยังเป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็ยังเป็นทองนั่นแหละ” จึงทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึง การนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไร ก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้พระดีจึงมิใช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้ หลวงพ่อกบ ท่านไม่มีชื่อเพราะท่านไม่เคยบอกชื่อกับใคร ชาวบ้านจึงเรียกชื่อท่านต่างๆนาๆกันไป เช่น (หลวงพ่อใหญ่) บ้าง เรียก (หลวงพ่อ) เฉยๆบ้าง วันหนึ่งฝนตกหนักมาก ฟ้าผ่าเสียงดัง และลมพายุพัดแรงมากจนกุฎิสั่นคลอน ชาวบ้าน และลูกศิษย์กลัวกุฏิท่านพัง จึงชวนท่านหนี ท่านบอกว่า "มึงกลัวอะไรกัน เดี๋ยวก็หยุดตกแล้ว" พักเดียวฝนก็หยุดจริงๆ และมีเสียงกบร้องดังลั่นทุ่งนา ชาวบ้าน และลูกศิษย์ดีใจ พากันไปจับกบมาแกงกิน แต่ไม่เจอสักตัวเดียว หลวงพ่อเลยอาสาไปจับมาให้เอง ปรากฎว่าจับมาเต็มข้อง ส่งให้ชาวบ้านไปทำกินกัน และท่านกำชับว่า "กินไม่หมดให้เอาไปปล่อยอย่าให้เหลือ" แต่มีชาวบ้าน และลูกศิษย์บางคนแอบใส่ไหซ่อนไว้ รุ่งเช้ามาดูกลายเป็นใบสะแก และใบไม้อื่นๆอีกมากมาย สร้างความตกตะลึงให้ชาวบ้าน ชาวบ้านทุกคนต่างขนานนามของท่านว่า “หลวงพ่อกบ" ด้วยเหตุนี้ แต่ในบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับการสอนธรรมะ มักจะเรียกท่านว่า (สมเด็จพระบรมครู) หมายถึง ครูคนแรกในการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน ภายหลังก็มีคนเรียกท่านว่า (หลวงพ่อเขาสาริกา) แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า (หลวงพ่อกบ) วัดเขาสาริกา จนถึงทุกวันนี้ ปริศนาธรรม “ทองหนึ่ง” บนกุฎิหลังใหม่ลูกศิษย์นำระฆังทองเหลืองมาถวายหลวงพ่อกบหลายใบ วันดีคืนดีท่านก็จะลุกขึ้นมาตีระฆังเสียงดังกังวาน และตะโกนว่า "ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง" และท่านชอบเขียนเลข ๑ หรือเครื่องหมาย + ตามข้าวของเครื่องใช้ จนเปื้อนไปหมด เคยมีลูกศิษย์ถามว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทองหนึ่ง คืออะไรเจ้าค่ะ" ท่านหันมาตอบว่า "หนึ่งคือหนึ่งไม่มีสอง เปรียบเสมือนทองยังไงมันก็ยังเป็นทองวันยังค่ำ" หมายถึง "ธรรมะ" หรือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่งในโลก ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปเท่าใด ก็ยังคงเป็นที่หนึ่งเสมอนั่นเอง คำว่า “ทองหนึ่ง“ มีหลายคนแปลความหมายผิดเพี้ยน คิดว่าเป็นคาถาประจำตัวของท่าน จริงๆแล้วเป็นปริศนาธรรมของหลวงพ่อกบ ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจาก (หลวงพ่อชื้น) วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (เขาพลอง) จ.ชัยนาท ศิษย์สายตรงของหลวงพ่อกบ และศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับหลวงพ่อโอภาสี ผู้บูชาไฟเผากิเลสแห่งอาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีการเล่าขานสืบต่อกันมา ในหมู่ลูกศิษย์สายเดียวกัน หลวงพ่อกบท่านเป็นพระอภิญญา อุดมด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และอภินิหารมากมาย วันหนึ่งท่านเห็นลูกศิษย์ของท่าน (เป็นผู้ชายไม่ทราบชื่อแน่ชัด) กำลังนั่งทุกข์ใจ เพราะมีปัญหาทางครอบครัว ทำกิจการขาดทุนสิ้นเนื้อประดาตัว หนี้สินท่วมหัว ท่านก็พูดว่า "เฮ้ย มึงจะเป็นอะไรนักหนาว่ะ อีแค่หมดตัวแค่นี้ไม่ถึงตายดอก เงินทองมันของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมก็แล้วกัน กูแนะนำให้มึงขึ้นไป ทำมาหากินแถวภาคเหนือแล้วมึงจะรวย" สิ้นคำหลวงพ่อ ท่านก็หันหลังไปนั่งท่องคำว่า "ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง" ต่อแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ลูกศิษย์คนดังกล่าว พอได้ฟังก็ก้มกราบแทบเท้าท่าน แล้วขอตัวกลับบ้าน เลยไปปรึกษาครอบครัว แล้วตัดสินใจขายบ้าน และที่ดิน แล้วย้ายไปปักหลักค้าขายที่ จ.เชียงใหม่ เวลาผ่านไป ๑ ปี เป็นที่น่าเหลือเชื่อ เขาชดใช้หนี้สินได้จนหมด และกิจการเจริญรุ่งเรืองร่ำรวย กลายเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเหนือ หลังกิจการเข้าที่เข้าทางแล้ว ลูกศิษย์ก็พาครอบครัวมากราบท่านที่วัดเขาสาริกา โดยถือชะลอมใส่ลำไย ลิ้นจี่ มาถวายท่านพะรุงพะรังเต็มไปหมด ท่านเหลือบเห็นเข้าก็หัวร่อบอกว่า "อ้าว ไอ้พ่อเลี้ยงเมืองเหนือ มันมาหากูว่ะ เอ้าใครอยากกินลำไย ลิ้นจี่ เอาไปแบ่งกัน เหลือให้กู ๒-๓ ลูกก็พอ" ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออกรางวัลเลขท้าย ๒๓ อย่างน่าอัศจรรย์จนเป็นที่ฮือฮาในยุคนั้น หลวงพ่อกบท่านชอบสอนปริศนาธรรมให้ลูกศิษย์ และคนใกล้ชิดไปขบคิดกันเอาเอง อย่างเช่นวันหนึ่งท่านหยิบเขาควาย และหัวมันมานั่งชั่งกิโล แล้วนั่งมองซ้ายมองขวา หยิบแล้วหยิบอีกอยู่อย่างนั้น จนลูกศิษย์เห็นเข้าก็ถามท่านว่า "หลวงพ่อทำอะไร" ท่านก็ตอบว่า "กูกำลังชั่งเขา ชั่งมันอยู่โว้ย อย่ามากวนใจ" ลูกศิษย์ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่านี่ท่านกำลังสอนธรรมะพวกเราอยู่แน่ๆ โดยการกระทำของท่านน่าจะหมายถึง การให้รู้จักปล่อยวางเดินตามทางสายกลาง ไม่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเป็นตัวถ่วงในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน และการพิจารณาลดละกิเลสนั่นเอง อัศจรรย์ละสังขารไปแล้วยังปรากฎกายได้ เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดจากแม่ชีคนหนึ่ง (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) บนวัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (เขาพลอง) จ.ชัยนาท ราวก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ.๒๕๒๑ สมัยนั้น หลวงพ่อชื้น เจ้าอาวาสยังไม่มรณภาพ ทางวัดได้จัดงานขึ้น โดยมีคณะศิษย์เก่า และศิษย์ใหม่หลายพันคน มาร่วมงานแน่นขนัดศาลาหลังใหญ่ บนเขาพลอง ระหว่างมีพิธีสวดเพื่อถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม่ชีเกิดปวดท้องไปเข้าห้องน้ำที่ศาลาเล็กด้านหลังศาลาใหญ่ พอเสร็จธุระออกมาเห็นพระภิกษุชรา นุ่งห่มจีวรสีกรักเก่าคร่ำคร่านั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อน ข้างศาลา ๑ รูป แม่ชีถามว่า "หลวงพ่อเจ้าค่ะ นิมนต์ไปศาลาใหญ่ดีกว่าเจ้าค่ะ" แต่พระภิกษุชราไม่ไป บอกเพียงว่า "ข้ามาดูเฉยๆ ว่างานเรียบร้อยดีไหม เดี๋ยวก็ไปแล้ว" แม่ชีก็ไม่ได้คิดอะไร ทิ้งท่านนั่งอยู่รูปเดียว แล้วรีบเข้าไปร่วมพิธีในศาลาใหญ่ จนเสร็จพิธีออกมามองหาพระภิกษุชรา แต่ก็ไม่เห็นแล้ว ถามใครก็ไม่มีใครรู้ จนแม่ชีด้วยกันถามว่าหาใครอยู่หรือ จึงเล่าเรื่องราวให้ฟัง จึงสร้างความสงสัยให้กับทุกคน ว่าพระภิกษุชราองค์นั้นมาจากไหน กระทั่งเม่ชีเหลือบไปเห็นรูปถ่ายหลวงพ่อกบ ที่ประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชา ก็ถึงกับเข่าอ่อน และยืนยันว่าพระภิกษุชราที่ตามหากันอยู่ คือพระในรูปนั่นเอง พอหลวงพ่อชื้นทราบเรื่องเข้า ก็หัวร่อบอกว่า "หลวงพ่อเขาสาริกาท่านเป็นห่วงลูกศิษย์ท่านเลยแวะมาดู ไม่มีอะไรหรอก วันหลังเดี๋ยวท่านก็มาใหม่" เรื่องปาฏิหาริย์นี้ได้ถูกเล่าขานกันในหมู่ลูกศิษย์สมัยนั้นมา จนหลวงพ่อชื้นต้องเฉลยว่า "มันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลวงพ่อกบท่านเป็นพระอภิญญา มีกาย และจิตเป็นทิพย์ สามารถไปไหนมาไหนได้ทั้ง ๓ โลก (มนุษย์ สวรรค์ นรก) แม้สังขาร หรือกายเนื้อของท่านจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่จิตยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ จึงปรากฎกายให้เห็นได้ เหมือนหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี" วัตถุมงคลของหลวงพ่อกบ หลวงพ่อกบเป็นพระที่แปลก ชั่วชีวิตของท่านไม่เคยสร้างวัตถุมงคล หรือเครื่องรางของขลังให้เช่าบูชาเหมือนเกจิอาจารย์รูปอื่นๆ ยกเว้นท่านจะทำแจกลูกศิษย์ใกล้ชิด และผู้ศรัทธาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งมีจำนวนน้อยมากๆ และเป็นวัสดุที่หาได้ไม่ยากในท้องถิ่น หลายคนอาจไม่เคยมีโอกาสได้เห็น และนึกไม่ถึงตามคำกล่าวที่ว่า "มีเงินมีทองไช่ว่าจะครอบครองของดีกันได้ง่ายๆ" หลวงพ่อกบ ท่านถึงแก่มรณภาพลง ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั่วหน้า และน่าแปลกใจที่ว่า เช้าวัดถัดไปคือวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๗ (หลวงพ่อโอภาสี) ท่านเดินทางมาถึงวัดเขาสาริกา เพื่อมาเป็นธุระในการทำพิธีฌาปนกิจศพของ (หลวงพ่อกบ) ผู้เป็นอาจารย์ เหตุการณ์ครั้งนั้น ได้สร้างความงุนงงให้ผู้คน และลูกศิษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากสมัยก่อน การสื่อสารไม่ได้รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน การส่งข่าวไปหากันแต่ละครั้งใช้เวลาหลายวัน บ่งบอกได้ว่า หลวงพ่อโอภาสี ก็เป็นพระอภิญญาเหมือนอาจารย์ทุกประการ เพราะสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลก และรับรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก |
|||||||||||||||
ราคา
|
15000 | |||||||||||||||
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
|
0893562879 โทรถามมีราคาพิเศษ | |||||||||||||||
ID LINE
|
manoonsak_yod1 | |||||||||||||||
จำนวนการเข้าชม
|
98 ครั้ง | |||||||||||||||
บัญชีธนาคารที่ใช้ยืนยันตัวตน
|
ธนาคารกสิกรไทย / 004-1-884xx-x
|
|||||||||||||||
แสดงความคิดเห็น | ||||||||||||||||
|